วันศุกร์ที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

การใช้เตาไมโครเวฟ ปลอดภัยจากคลื่นรังสีหรือเปล่า มีข้อควรระวังในการใช้อย่างไรจึงปลอดภัย

คลื่นไมโครเวฟเป็นคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่อยู่ในธรรมชาติประเภทหนึ่ง เหมือนๆกับคลื่นวิทยุ คลื่นอินฟราเรด สัญญาณ 3G 4G Wifi แรงกว่านี้ก็คือพวกคลื่นเอ็กซ์เรย์ รังสีแกมม่า


คลื่นไมโครเวฟมีความยาวคลื่น 12-33 เซนติเมตร สามารถถ่ายทอดพลังงานให้แก่โมเลกุลของน้ำได้ ด้วยการขยับขั้วสนามไฟฟ้า มีผลให้โมเลกุลของน้ำเสียดสีกัน ทำให้เกิดอุณหภูมิสูงขึ้น (คล้ายเราเอามือสองข้างถูไปๆมาๆ เกิดความร้อนขึ้น) ไปมีผลทำให้อาหารสุกได้ เห็นได้ว่าความร้อนที่ทำให้อาหารสุกนั่นเอง ไม่ใช่เกิดจากการสุกด้วยกัมมันตรังสี อย่างที่เป็นข่าวลือ



อาหารที่สุกด้วยคลื่นไมโครเวฟจึงต้องมีน้ำเป็นส่วนประกอบของวัตถุดิบ ... หากอาหารวัตถุดิบไม่มีน้ำ ก็จะไม่สามารถทำให้สุกด้วยคลื่นไมโครเวฟ แต่ข้อเท็จจริงคืออาหารจะมีส่วนประกอบของน้ำอยู่ในตัวเอง จึงสุกได้อยู่แล้ว คลื่นไมโครเวฟจึงทำให้อาหารสุกจากข้างในตัวออกสู่ด้านนอก ... แตกต่างจากการใช้แก๊สหุงต้ม ไอน้ำนึ่ง การเผาปิ้ง ซึ่งทำให้อาหารสุกจากข้างนอกวัตถุดิบไปยังข้างใน

การที่อาหารสุกด้วยคลื่นไมโครเวฟ จะเริ่มจากด้านในวัตถุดิบออกสู่ด้านนอก ทำให้ผู้ปรุงอาหารสังเกตุเห็นได้ยาก (นอกจากผู้ชำนาญหรือทำบ่อยๆ) อาจต้องกะเวลาด้วยตัวเองในช่วงแรกๆ ... ควรมีข้อระวังการเดือดทะลักของอาหารหรือน้ำที่เดือด ที่พุ่งขึ้นมาจากภาชนะบรรจุ (คล้ายๆภูเขาไฟระเบิด) จึงไม่ควรมองอาหารหรือน้ำในภาชนะจากด้านบน ... เป็นหลักความปลอดภัยพื้นฐาน เฉกเช่น การต้มน้ำเดือดด้วยแก๊ส ก็ไม่ให้เปิดฝาหม้อดูในทันที , การต้มด้วยแรงดันไอน้ำสูง ต้องดูไม่ให้มีการระเบิด , การเผาปิ้งอาหารที่ทำให้เนื้อสัตว์ไหม้เกรียม หลีกเลี่ยงผิวหนังจากถ่านระอุ เป็นต้น

คุณค่าอาหารจะสูญเสียมากหรือน้อย

เราพบได้ว่าสารอาหาร โดยเฉพาะวิตามินต่างๆ จะถูกทำลายด้วยความร้อน การทำอาหารให้สุกด้วยความร้อนทุกรูปแบบ ก็จะมีส่วนให้คุณค่าอาหารเสียไป ไม่ว่าจะเป็น การต้ม การปิ้ง การนึ่ง การใช้ไมโครเวฟ มากหรือน้อยขึ้นกับอุณหภูมิและเวลาที่ใช้ทำความร้อน เป็นตัวกำหนดคุณค่าอาหารมากกกว่าวิธีการที่ใช้ปรุง ... เราพบได้ว่าการใช้ไมโครเวฟทำอาหาร จะใช้เวลาน้อยกว่าวิธีการปรุงอื่นๆ จึงน่าจะคงคุณค่าอาหารได้มากกว่า

ภาชนะที่ใช้ในการปรุงอาหาร

ภาชนะที่เข้าเตาไมโครเวฟ ก็มีข้อกำหนดเหมือนกับวิธีการปรุงอาหารด้วยวิธีอื่นๆ คือ หลีกเลี่ยงการใช้ภาชนะพลาสติคที่เข้าไม่ได้และโฟม เพราะพวกนี้จะคายสารที่ไม่ทราบออกมาเมื่อมีความร้อนสูง , โลหะที่มีความคม รวมถึงฟอยด์ ทำให้เกิดประกายไฟในเตา ... ควรใช้เซรามิค ได้ทุกประเภท แต่ต้องไม่มีสีเงินสีทอง ซึ่งเป็นตัวสะท้อนคลื่นไมโครเวฟ ทำให้เตาเสื่อมเร็วกว่าปรกติ รวมถึงอาจมีพิษจากตะกั่วที่อยู่ในสีด้วย

คลื่นไมโครเวฟจะหลุดลอดจากเตา มาทำอันตรายคนได้หรือไม่

คลื่นไมโครเวฟมีความยาวคลื่นสูง เขาจึงใช้แผ่นตะแกรงเหล็กกั้นไว้ที่ประตูด้านหน้า ไม่ให้หลุดลอดออกมาตอนเปิดใช้งานเครื่อง อย่างไรก็ตาม สามารถตรวจสอบการรั่วไหลได้ด้วยมิเตอร์วัดที่ช่างบริการศูนย์ใหญ่ๆมีอยู่แล้ว






รังสี UV หรือ Ozone ที่ใช้กันตามบ้านหรือในรถยนต์ ใช้ทำลายเชื้อโรคและกลิ่นอับได้จริงหรือไม่ ปลอดภัยจริงหรือไม่

คำถามที่มักเจอบ่อยคือ รังสียูวี หรือ โอโซน มีประสิทธิภาพในการทำลายกลิ่นอับหรือเชื้อโรคได้ดีหรือเปล่า ปลอดภัยที่จะใช้ในรถหรือตามบ้านหรือเปล่า แต่ทำไมบุคลากรทางการแพทย์ไม่ค่อยใช้กัน


กลไกในการทำลายเชื้อโรค


รังสียูวี  Ultraviolet

จะแยกออกเป็น 3 ชนิด ตามช่วงคลื่นคือ


1. UV-A   315-380 nm.
2. UV-B   280-315 nm.
3. UV-C   100-280 nm.


เราจะนิยมใช้ UV-C ซึ่งเป็นชนิดที่ฆ่าเชื้อแบคทีเรีย เชื้อไวรัสได้ แต่ไม่สามารถทำลายสปอร์ของเชื้ออราได้  ความสามารถในการทำลายเชื้อโรค จะขึ้นกับความเข้มของแสงต่อหน่วยพื้นที่ (เชื้อโรคแต่ละชนิดก็ต้องใช้ความเข้มแสงที่แตกต่างกัน) นอกจากนี้เชื้อโรคที่ถูกรังสียูวีทำลายได้ จะเป็นเชื้อโรคแบบอิสระเท่านั้น (ลอยในอากาศ) ไม่สามารถทำลายเชื้อโรคที่ตกบนพื้นหรืออยู่นอกรัศมีที่รังสีจะไปถึง

การทำลายเชื้อโรคด้วยวิธีการที่ว่า ปริมาณแสงที่เข้มข้นมากพอ ในเวลาสัมผัสที่เพียงพอ แสงยูวีจะทะลุเข้าไปใน DNA ของเชื้อโรค ทำให้ DNA เพี้ยนไปจากปรกติ เชื้อโรคไม่สามารถสืบพันธุ์ต่อได้ ก็จะตายในที่สุด

สารโอโซน  Ozone


                O2 + O ---> O
                O2 + O ---> O3

โอโซนแตกตัวให้ประจุของออกซิเจนที่มีความสามารถในการออกซิไดส์สูง มีผลรบกวนต่อการถ่ายโอนประจุระหว่างชั้นผนังเซลล์ ทำลายโครงสร้างผนังเซลล์ของจุลินทรีย์ และทำลายองค์ประกอบต่างๆ ภายในเซลล์ ส่งผลให้เซลล์ของจุลินทรีย์เสียหาย แบบเฉียบพลันและตายในที่สุด อีกนัยหนึ่งคือทำลายแบบสิ้นซาก


ความสามารถในการทำลายเชื้อโรคและกลิ่นของโอโซน จะขึ้นกับความเข้มข้นที่สูงและระยะเวลาที่โอโซนสัมผัสนานพอ ไม่ใช่ว่าทุกความเข้มข้นจะสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ปริมาณโอโซนกับการกําจัดเชื้อโรคต่างๆ

1. ไวรัส  ปริมาณโอโซน 0.5 - 1.5 ส่วนในล้านส่วน (P.P.M.) สามารถกําจัดเชื้อไวรัสได้ 99% โดยระยะเวลาการฆ่าเชื้อต้องไม่น้อยกว่า 4 นาที

2. แบคทีเรีย  ปริมาณโอโซนที่ใช้ในการกําจัดเชื้อแบคทีเรียขึ้นอยู่กับชนิด และปริมาณของแบคทีเรีย โดยทั่วไปโอโซนเข้มข้น 10 ส่วนในล้านส่วน สามารถกําจัดเชื้อแบคทีเรียได้ 99% โดยระยะเวลาการฆ่าเชื้ออย่างน้อย 10 นาที

3. เชื้อรา  ปริมาณโอโซนที่ใช้กับเชื้อราจะต้องใช้ปริมาณโอโซนมากกว่าการใช้กับเชื้อไวรัสและเชื้อแบคทีเรีย เนื่องจากเชื้อรามีการ สร้างสปอร์ฉะนั้นในการกําจัดเชื้อรา 99 % ต้องใช้ปริมาณ โอโซนประมาณ 20 ส่วน ในล้านส่วนที่ระยะเวลาการฆ่าเชื้อ อย่างน้อย 30 นาที

การเลือกใช้โอโซนทำงาน ต้องถามว่าความเข้มข้นเท่าไหร่ ทำลายกี่เปอร์เซ็นต์ ห้ามเชื้อโรคขยับไปไหนเป็นเวลานานเท่าไหร่

ในโรงพยาบาล จึงต้องให้คนออกจากห้องก่อน เพื่อความปลอดภัย จากนั้นค่อยเปิดเครื่องทำงานทิ้งไว้ได้ หลังจากปิดเครื่องแล้ว ก็ต้องปล่อยห้องให้ว่างไว้มากกว่า 4 ชั่วโมง จึงกลับเข้าไปใช้งานห้องได้อีกครั้ง ... เป็นความไม่สะดวกของการใช้งาน และเสี่ยงต่อความปลอดภัยของพนักงาน จึงมีความนิยมใช้ลดลงเรื่อยๆ

ความปลอดภัยในการใช้งานรังสียูวี และสารโอโซน

จากข้างบน จะเห็นได้ว่า วิธีการฆ่าเชื้อโรคและทำลายกลิ่นของทั้งสองวิธี เป็นการทำลายชนิดรุนแรง และมีผลต่อระดับ DNA จึงต้องคำนึงถึงความเป็นพิษที่เกิดขึ้นต่อการสัมผัสต่อมนุษย์เช่นกัน ทางหน่วยงานคุ้มครองผู้บริโภคได้มีการกำหนดมาตราฐานความปลอดภัยไว้ (ขณะเดียวกันประสิทธิภาพการทำงานก็จะด้อยลง) อาทิเช่น

-  FDA หรือ อย. แห่งสหรัฐอเมริกา  ได้กำหนดว่าเครื่องผลิตโอโซนไม่ควรผลิตโอโซนเกิน 0.05  ppm.   (ส่วนในล้านส่วน)  สำหรับใช้ภายในอาคาร

-  OSHA   หรือ  (Occupational Safety and Health Administration)  ตั้งข้อกำหนดว่า  ไม่ควรทำงานในบริเวณที่มีความเข้มข้นของโอโซนเกิน  0.10  ppm.  เกินกว่า  8 ชั่วโมง

-  สถาบัน    NIOSH   หรือ  (National Institute of Occupational Safety and Health)  ตั้งข้อกำหนดว่า  ไม่ควรอยู่ในบริเวณที่มีโอโซนเกิน 0.10  ppm.   ไม่ว่ากรณีใด

-  สำนักงาน   EPA   หรือ (Environmental Protection Agency)  ตั้งข้อกำหนดว่า  ไม่ควรอยู่ในที่ที่มีโอโซนถึง 0.08   ppm.   เกิน 8 ชั่วโมง

ค่ามาตรฐานการสัมผัสโอโซนสำหรับ 8 ชั่วโมงการทำงานของประเทศญี่ปุ่นและออสเตรเลียคือ 0.1 ส่วนในล้านส่วน (parts per million, ppm)ส่วนมติที่ประชุมของนักสุขศาสตร์อุตสาหกรรมภาครัฐบาลแห่งสห รัฐอเมริกา (American Conferenceof Governmental Industrial Hygienists, ACGIH)ได้กำหนดค่าที่ยอมให้มีได้ในบรรยากาศการทำงาน(Threshold Limit Value, TLV) ของโอโซนเป็น 0.1 ส่วนในล้านส่วน เช่นเดียวกัน แต่เป็นค่าที่ไม่ยอมให้มีเกินค่านี้ในบรรยากาศการทำงาน ไม่ว่าในเวลาใดก็ตามค่า ceiling ระดับความเข้มข้นของโอโซนที่ 10 ส่วนในล้านส่วน  เป็นระดับที่ทำอันตรายต่อชีวิตและสุขภาพทันที (ImmediatelyDangerous to Life and Health, IDLH)

การที่ต้องเข้มงวดในการกำหนดความเข้มข้นของโอโซน เพราะคุณสมบัติของมันโดยเฉพาะที่มีความเข้มข้นมาก  สามารถทำปฏิกิริยากับร่างกายได้และเป็นอันตรายต่อสุขภาพ  เมื่อหายใจเข้าไปโอโซนทำอันตรายต่อปอด  แม้ว่าจะมีปริมาณเพียงเล็กน้อยโอโซนสามารถทำให้เกิดอาการเจ็บหน้าอก ไอ หายใจไม่ออก เจ็บคอ ระคายเคืองคอ  โอโซนสามารถทำให้เกิดปัญหาโรคระบบทางเดินหายใจอย่างเรื้อรังอย่างเช่น โรคหอบ  นอกจากนั้นโอโซนยังทำให้ภูมิคุ้มกันของร่างกายที่จะต่อสู้กับโรคติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจลดลง

สรุปสั้นได้ว่า

ความเข้มข้นที่สามารถฆ่าเชื้อโรค และทำลายกลิ่นได้จริง       20      ppm
มาตราฐานที่ให้ใช้ตามบ้าน ต้องมีความเข้มข้นไม่เกิน               0.10 ppm
ความเข้มข้นที่มักพบอาการพิษให้เห็นบ่อยๆ                             0.25 ppm

ผลต่อสุขภาพระยะสั้น : โอโซนที่ระดับความเข้มข้นต่ำ (0.01-0.02 ส่วน ในล้านส่วน) ก็สามารถตรวจสอบกลิ่นได้แล้ว

โอโซนในระดับความเข้มข้น 0.25 ส่วนในล้านส่วนขึ้นไป มีผลทำให้เกิดความระคายเคืองต่อตา จมูก และคอทำให้หายใจสั้น วิงเวียน และปวดศีรษะได้

นอกจากนี้ยังพบว่าเป็นสาเหตุของความล้าและการสูญ เสียประสาทรับรู้กลิ่นด้วย คนที่มีโรคทางระบบหายใจอยู่แล้ว เช่น โรคหอบหืด ไม่ควรสัมผัสโอโซนเลย


สูดโอโซนแล้วสดชื่นจริงหรือไม่

หลายคนคงเคยได้ยินคำกล่าว “สูดโอโซนแล้วทำให้สดชื่น”คำกล่าวนี้คงทำให้หลายคนเข้าใจผิด คิดว่า โอโซน มีประโยชน์ซึ่งแท้จริงแล้วโอโซน ไม่ใช่อากาศที่มนุษย์เราใช้ในการหายใจเลย  โอโซนเป็นก๊าซไม่มีสีแต่มีกลิ่นเหม็นคาว ซึ่งเป็นพิษต่อระบบหายใจของสิ่งมีชีวิต  โอโซนมีความว่องไวในการเกิดปฏิกิริยา จึงมักจะเกิดปฏิกิริยากับสารอื่นๆในสิ่งแวดล้อม  ความรู้สึกที่ว่าโอโซนดับกลิ่นทำให้ อากาศสดชื่นนั้นความจริง เกิดจากการที่โอโซนเข้าทำปฏิกิริยากับโมเลกุลของสารที่มีกลิ่นให้กลายเป็นอีกโมเลกุลซึ่งไม่มีกลิ่น ทำให้เรารู้สึกสดชื่นนั่นเองไม่ใช่เป็นเพราะโอโซนอย่างที่เราเข้าใจกันนั่นเอง
                 



วันพุธที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

เชื้อไวรัส MERS คืออะไร ไม่มีวัคซีนหรือยารักษาได้จริงหรือ ทางเลือกในการป้องกันตัวเองคืออะไร

MERS เป็นเชื้อไวรัสประเภทหนึ่ง สายพันธุ์คล้ายกับเชื้อไวรัสซาร์สที่เคยอาละวาดหลายปีก่อนในแถบตะวันออกกลางคือ ซาอุดิอาระเบีย มีผลให้คนตายไปเยอะ แล้วก็หายไป จนมาพบอีกครั้งในปีนี้ที่ประเทศเกาหลี พบผู้ป่วยที่ได้รับเชื้อไวรัสเมอร์สกระจายไปคลีนิคหลายแห่งและโรงพยาบาล ทำให้ผู้ที่ได้รับการติดเชื้อเมอร์สส่วนใหญ่ เป็นบุคลากรทางการแพทย์ เช่น ผู้ช่วยพยาบาล พยาบาล รวมถึงแพทย์ 



อาการของผู้ที่ได้รับเชื้อนี้เข้าไปก็คล้ายการได้รับเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ แต่จะรุนแรงกว่า เช่น เป็นไข้ ปวดหัว หายใจไม่สะดวก ท้องเสีย เชื้อไวรัสเมอร์สจะแพร่ติดต่อทางอากาศ ในรูปแบบละอองฝอย (droplet) ทำให้ต้องระมัดระวังหลีกเลี่ยงการถูกไอจามพุ่งเข้าใส่ผู้คนรอบข้างตรงๆ อีกทั้งเชื้อไวรัสสามารถเกาะติดตามพื้นผิวต่างๆได้ด้วย เชื้อไวรัสเมอร์สสามารถมีชีวิตได้ 8-12 ชั่วโมงตามพื้นผิว หากคนไม่สัมผัสถูกเชื้อเมอร์ส แล้วมาป้ายตาป้ายปาก ขยี้แคะจมูก ก็สามารถติดเชื้อเมอร์สได้เช่นกัน


เชื้อไวรัสเมอร์สจะแพร่ติดต่อกับทุกเพศทุกวัย แต่มักแสดงอาการรุนแรงหรือถึงแก่ชีวิต ในกลุ่มคนสูงอายุหรือเด็ก เนื่องจากมีภูมิต้านทานต่ำกว่ากลุ่มประชากรอื่น ปัจจุบันยังไม่มีวัคซีนป้องกันหรือยาที่รักษาได้ การให้ความช่วยเหลือเป็นการบรรเทาตามอาการต่างๆที่เกิดขึ้น เช่น ให้ลดไข้ ช่วยหายใจ




อย่างไรก็ตาม มีการศึกษาพบว่าเชื้อไวรัสไม่ว่าจะสายพันธุ์ไหนก็ตาม ความแตกต่างจะอยู่ที่ชนิดโปรตีนที่ประกอบใน DNA หรือ RNA  แต่เปลือกนอกหรือผนังเซลล์ที่ห่อหุ้มเชื้อไวรัสอยู่ จะมีส่วนประกอบเหมือนกันคือ Peptidoglycan ที่มี H-bond เป็นพันธะที่ดึงกันไว้ ทำให้เกิดเป็นเปลือกนอกห่อหุ้มของเหลวและ DNA ที่อยู่ข้างใน


การวิจัยทดสอบได้เกิดเทคโนโลยี่ใหม่ที่มีสารหรือสิ่งที่ไปดึง H-bond ให้แยกออกมาได้ ทำให้เปลือกนอกหรือผนังเซลล์ชั้นเดียวที่มีของเชื้อไวรัสแตกออกได้ เชื้อไวรัสก็ไม่สามารถคงสภาพต่อไปได้ หรือที่ภาษาชาวบ้านเรียกว่าถูกทำลายนั่นเอง เทคโนโลยี่เหล่านี้ถูกพัฒนาคิดค้นโดยชาร์ป ภายใต้ชื่อ อนุภาค "พลาสม่าคลัสเตอร์" ในรูปแบบทางวิทยาศาสตร์ที่เรียกว่า active hydroxyl มีสูตรทางเคมีว่า OH  มีคุณสมบัติพิเศษที่ไปดึงพันธะไฮโดรเจนที่ว่านี้ได้จากผนังเซลล์เชื้อไวรัส ทำให้เชื้อไวรัสถูกทำลายทันทีที่โดนอนุภาคพลาสม่าคลัสเตอร์ หรือ เข้าไปในโซนที่พลาสม่าคลัสเตอร์มีอยู่

แต่การศึกษาก็พบว่าการทำลายเชื้อไวรัสแบบละอองฝอย อาจต้องใช้อนุภาคพลาสม่าคลัสเตอร์ที่มีความเข้มข้นสูงระดับ 25,000 ไอออนต่อซีซี ให้ผลที่ดีกว่า (จากการศึกษาทดสอบของสถาบันไวรัสวิทยา รีโทรสกรีน ประเทศอังกฤษ)

มนุษย์กับเชื้อไวรัส คงต้องสู้รบกันอีกนานเพื่อความอยู่รอดของตนเอง การเกิดสายพันธุ์ใหม่ๆของเชื้อไวรัสก็เช่นกัน มีเกิดขึ้นหลากหลายในทุกๆปี มนุษย์ควรเรียนรู้ที่จะอยู่กับมัน หรือมีทางเลือกในการป้องกันตัวเองจากเชื้อไวรัส เพราะอย่างไรก็คงหนีกันไม่พ้นแน่นอน

วันศุกร์ที่ 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

ครีมลดถุงใต้ตามีการทำงานอย่างไร ต้องใช้ตลอดชีวิตหรือไม่ มีข้อควรระวังอย่างไรบ้าง

ช่วงนี้ครีมลดถุงใต้ตา หรือ Instant ageless กำลังมาแรง เรามาดูว่ามันออกฤทธิ์ทำอย่างไรถึงได้ผลลัพธ์ที่รวดเร็ว











ในสูตรของเครื่องสำอางประเภทครีมลดถุงใต้ตานี้ มีสารเคมีหลายๆตัว อาทิเช่น



Water , Sodium Silicate , Magnesium Silicate , Acetyl
Hexapeptide-8 (Argireline), Phenoxyethanol, Ethylexyglycerin,
Yellow , Red 

แต่ตัวสำคัญที่มีผลต่อถุงใต้ตาก็คือ Argireline ชื่อเล่นๆว่า Botox-like  



Botox

ท้าวความถึงสารโบท็อกซ์เป็นสารที่นิยมในการฉีดใบหน้าเต่งตึง เป็นโปรตีนที่มีสายยาวชนิดหนึ่ง สกัดได้จากเชื้อแบคทีเรีย (Clostridium Botulinum) ที่ทำให้เกิดโรคท้องร่วงกับคน สารพิษโบท็อกซ์นี้มีความสามารถไปรบกวนการสั่งงานของสาร Acetyl Choline ในกลุ่มของ Snap Receptor ทำให้กล้ามเนื้อไม่หดตึงตัว ... นำไปสู่การใช้รักษาอาการตาเข เปลือกตากระตุก แต่ก็เป็นการช่วยได้แค่ชั่วคราว เพราะต้องใช้แบบบริสุทธิ์ปริมาณที่ต่ำจึงจะปลอดภัย คนไข้ต้องได้รับการฉีดซ้ำทุก 3-5 เดือน






ต่อมาแพทย์แคนาดาก็นำสารโบท็อกซ์มาฉีดลดเลือนริ้วรอยบนใบหน้าได้ชั่วคราว โดยเฉพาะตำแหน่งหน้าผากและหว่างคิ้ว ซึ่งไม่สามารถทำให้ริ้วรอยหายตลอดไป ไม่ควรฉีดบริเวณรอบริมฝีปากและผิวหนังตำแหน่งใต้ตาดำ ... สิ่งที่โบท็อกซ์ทำไม่ได้คือการช่วยทำให้ผิวสัมผัสดีขึ้น ไม่สามารถช่วยลดจุดด่างดำหรือกระตุ้นการซ่อมสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินได้



Argireline



ส่วนสารที่ใส่ในครีมลดถุงใต้ตามีชื่อว่า Argireline เป็นกลุ่มโปรตีนกรดอะมิโนขนาดเล็กที่มีความบริสุทธิ์มากกว่า 80 % ช่วยให้เกิดการยับยั้งการทำงานของ Snap receptor ส่งผลให้กล้ามเนื้อบนใบหน้าผ่อนคลาย ริ้วรอยต่างๆลดลง ในการทดสอบครีมความเข้มข้น 10 % พบว่า ผู้ทดลองเพศหญิง 10 ท่าน พบว่า ริ้วรอยที่เคยปรากฏลดลงหลังใช้


อีกมุมมองหนึ่งของสารตัวนี้

Argireline ถูกให้ระมัดระวังในคนที่แพ้สารตัวนี้ ไม่แนะนำให้ทาโดนตาหรือผิวหนังที่ไหม้จากแสงแดด หากมีอาการระคายเคืองผิวหนัง แดงบริเวณที่ทา หรือ ผิวแสบแห้ง ให้หยุดใช้ทันที ... Argireline มีอาการพิษหรือข้างเคียงที่ต่ำกว่าโบท็อกซ์ แต่ก็มีข้อควรระวังที่ยังไม่ได้พิสูจน์ในการใช้ระยะยาวอย่างต่อเนื่อง จึงแนะนำให้ใช้ทาในบริเวณจำกัด (อาจมีผลต่อการคลายกล้ามเนื้อที่อื่นได้) ... ที่แน่นอนคือ การใช้สารตัวนี้ต้องใช้แบบต่อเนื่องตลอดชีวิต เพราะผลของการลดรอยย่นใต้ตาเป็นแค่ชั่วคราวเท่านั้น อีกทั้งไม่ได้ช่วยทำให้ผิวสัมผัสดีขึ้น ไม่สามารถลดจุดด่างดำหรือกระตุ้นการซ่อมสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินได้


วันจันทร์ที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

เอาสาร AHA ออกแล้ว หรือไม่ได้ใส่เข้าไป ทำให้โฟมล้างหน้าปลอดภัยจากสารระคายเคืองจริงหรือ

นีเวีย เมน ไวท์ แอคเน่ ออย คอนโทรล มัดโฟม คุมมัน ไร้สิว หน้าใส

https://www.youtube.com/watch?v=Y-320aUA5AI

เห็นโฆษณานี้ แล้วฟังดูดีนะ ไม่ใช้สาร AHA  ที่ทำให้ผิวหนังแห้งตึง อะไรก็ดีหมดเพราะไม่มีสารระคายเคืองผิว หรือทำลายผิว



AHA คืออะไร

มันเป็นกรดชนิดหนึ่งที่มาจากผลไม้ ส้มหรืออ้อย ชื่อเต็มว่า Alpha Hydroxy Acids   กรดก็คือกรด มีความสามารถในการกัดกร่อนผิวหนัง เมื่อเราเอามาใช้กับผิวหน้า มันก็จะกัดผิวหน้าชั้นนอก หรือ เมื่อใช้กับผิวหนัง ก็จะกัดกร่อนผิวหนังชั้นนอก ให้หลุดร่อนออกไป เหมือนเป็ดโดนถลกหนัง  จากนั้นผิวหนังชั้นล่างก็จะโผล่ขึ้นมาแทน นัยว่าได้ผิวหนังใหม่ ยังงั้นแหละ AHA ที่นำมาใช้เพื่อการนี้ ต้องมีความเข้มข้นสูง 20-70% ซึ่งต้องอยู่ในความดูแลของแพทย์ 



ส่วนที่ใส่ในเครื่องสำอางค์ทั่วไปมีแค่ 2% ซึ่งไม่สามารถกัดกร่อนผิวหนังชั้นนอกได้ จึงต้องคิดเองแล้วว่าจะใส่ไปเพื่ออะไร ขณะเดียวกัน หากเอาออกแล้วมาพูดว่าปลอดภัยจากสารระคายเคือง ก็ต้องมาดูว่าแล้วมีสารเคมีตัวไหนที่เหลืออยู่ในเครื่องสำอางค์อีกบ้าง ระคายเคืองหรือไม่



ข้อควรระวังของการใช้ AHA

คนผิวแห้ง หรือ แพ้สารพวกนี้ ไม่ควรใช้เพราะทำให้เกิดผื่นแดง รวมถึงความเข้มข้นที่นำมาใช้ ก็ต้องมีสัดส่วนที่เหมาะสม  หลังจากใช้สูตรผสมที่มี AHA แล้ว ผิวหนังที่เหลืออยู่จะเหมือนเด็กอนุบาล ต้องคอยประคบประหงม ไม่ควรโดนแสงแดดหรือสารเคมีชนิดอื่น


ภาพนี้เกิดหลังจากใช้เครื่องสำอางค์ที่มี AHA สูง จะเกิดผิวแห้งมากและคล้ำ คัน และหลุดร่วงไป


หลังจากใช้ AHA ความเข้มข้นสูงที่ฝ่ามือ ผิวหนังคล้ำคันก็หลุดลอกไปแล้ว เกิดแผลเป็นแข็งขึ้นมาแทน เมื่อผ่านไป 7 วัน

มีผลข้างเคียงขนาดนี้แล้ว ก็ยังเห็นโฆษณาเยอะแยะที่ระบุว่ามีความเข้มข้นถึง 70-80% มันเอามาจากไหนกัน ที่ความเข้มข้นสูงขนาดนี้ เพราะตำราแพทย์ระบุว่า หากเกินกว่า 20% ก็ต้องควบคุมดูแลใกล้ชิดกันแล้ว เมื่อนำความเข้มข้น AHA สูงขนาดนั้นมาใช้ ใบหน้าเราจะเหลืออะไร


สารอื่นที่ระคายเคือง นอกจาก AHA




สารเคมีอื่นๆยังคงมีผสมในเครื่องสำอางค์ เช่น SLS , SLES  เป็นสารเคมีที่ทำลายชะล้างได้อย่างหนักๆ ระคายเคืองผิวหนังได้มากกว่า AHA ซะอีก ไม่เช่นนั้นเขาคงไม่นำไปใส่ในน้ำยาล้างจานหรอก สารพวกนี้ไม่มีเครื่องสำอางค์กล่าวถึงว่าควรจะงดหรือไม่ เพราะประสิทธิภาพทำลายล้าง ช่างหน้ากลัวเหลือเกิน



ผลจากการใช้สารลดแรงตึงผิว หรืออีกชื่อหนึ่งคือ สารทำให้เกิดฟอง ชื่อย่อทางเคมีคือ SLS น่าจะเป็นสารระคายเคืองที่สร้างปัญหาใหม่และกว้างขวางกว่าสารเคมีตัวอื่น



 

วันพฤหัสบดีที่ 9 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

ไทยมีผู้ป่วยวัณโรคเพิ่มขึ้นทุกปี วัณโรครักษาหายได้แต่ยากที่ป้องกันจริงหรือ คนที่ไม่มีอาการก็เป็นพาหะแพร่ทางอากาศได้หรือเปล่า

องค์การอนามัยโลก  (WHO) จัดให้ไทยเป็นประเทศที่มีผู้ป่วยวัณโรคสูงเป็นอันดับที่ 18 ของโลก จากเดิมอยู่อันดับที่ 22 ของโลกในกลุ่มที่มีผู้ป่วยวัณโรคมากที่สุด

ศ.เกียรติยศ นพ.สงคราม ทรัพย์เจริญ ประธานกรรมการกลาง สมาคมปราบวัณโรคแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ กล่าวในงานจัดประชุมวิชาการวัณโรคและโรคระบบทางการหายใจระดับชาติ ประจำปี 2558 ว่า ขณะนี้องค์การอนามัยโลก (WHO) จัดให้ไทยเป็นประเทศที่มีผู้ป่วยวัณโรคสูงเป็นอันดับที่ 18 ของโลก จากเดิมอยู่อันดับที่ 22 ของโลกในกลุ่มที่มีผู้ป่วยวัณโรคมากที่สุด ที่สำคัญขณะนี้ถือว่าไทยยังมีปัญหาเชื้อวัณโรคดื้อยาจำนวนมาก โดยเฉพาะในเมืองใหญ่ๆ เช่น กทม. เป็นต้น นอกจากนี้ไทยยังมีปัญหากลุ่มโรคถุงลมโป่งพองและโรคติดเชื้อ ที่สามารถติดต่อกันได้ ดังนั้นตรงนี้กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ต้องเฝ้าระวังป้องกันในกลุ่มโรคเหล่านี้ด้วย

ด้าน ศ.นพ.รัชตะ รัชตะนาวิน รมว.สาธารณสุข กล่าวว่า WHO รายงานตัวเลขผู้ป่วยวัณโรครายใหม่ปีละ 9 ล้านราย แต่เข้าถึงการรักษาเพียง 6 ล้านรายเท่านั้น ส่วนสถานการณ์ในไทยมีแนวโน้มผู้ป่วยเพิ่มขึ้น โดยในปี 2556 พบผู้ป่วย 113,900 ราย แต่ลงทะเบียนการรักษาเพียง 67,000 ราย แต่ขณะเดียวกันก็พบผู้ป่วยดื้อต่อยารักษาหลายขนานถึงร้อยละ 2 ส่วนผู้ป่วยรายเก่าดื้อยาร้อยละ 19 ทำให้ต้องเสียค่ารักษาสูงกว่าเดิมเป็นร้อยเท่า จากหลักแสนบาทเป็นหลักล้านบาท ดังนั้น สธ.จึงได้จัดทำแผนยุทธศาสตร์ระดับชาติปี 2558-2562 เน้นหนัก 3 เรื่องคือ ค้นให้พบ จบด้วยหาย พัฒนาเครือข่ายและระบบดูแล เพื่อลดป่วย ลดตาย ลดขาดยา และป้องกันเชื้อดื้อยา โดยมีเป้าหมายลดอัตราผู้ป่วยรายใหม่ลงร้อยละ 20 จาก 170 ต่อแสนประชากรให้เหลือ 136 ต่อแสนประชากร ผู้ป่วยวัณโรคทุกคนจะได้รับการรักษาฟรี การรักษาจะช่วยตัดการแพร่เชื้อไปสู่คนรอบข้าง


ประเทศไทยมีผู้ป่วยวัณโรคเพิ่มขึ้นปีละกว่าแสนราย แต่เข้ารักษาแค่ 50% ก็หมายความว่า ทุกวันนี้มีผู้ป่วยที่สามารถแพร่เชื้อวัณโรคมากถึง 50,000 คนต่อปี ผู้ป่วยบางคนก็ไม่แสดงอาการให้เห็นและสามารถเป็นพาหะของเชื้อได้นานกว่า 15 ปี เชื้อวัณโรคนี้แพร่กระจายติดต่อได้ทางอากาศ จึงเป็นความเสี่ยงสูงต่อการแพร่กระจายในที่สาธารณชน โดยเฉพาะผู้ที่โดยสารเดินทางด้วยรถเมล์ รถตู้ ที่มีความแออัดชนิดที่ไม่รู้ว่าใครเป็นใคร

ผู้ป่วยวัณโรคที่ได้กินยาตามกำหนดครบทุก 1 ปี ก็สามารถหายจากโรคนี้ได้ แต่ส่วนใหญ่หลงลืมบ้าง ขาดยาบ้าง ทำให้เป็นโรคเรื้อรังที่สร้างปัญหาใหม่ขึ้นมา อาทิเช่น เกิดการดื้อยา แพร่เชื้อวัณโรคให้ผู้ใกล้ชิด การติดตามผู้ป่วยให้รับการรักษาอย่างเคร่งครัด เป็นสิ่งที่แพทย์กระทำอยู่


เชื้อวัณโรค เป็นเชื้อแบคทีเรียประเภทหนึ่ง ที่ทำให้เกิดเจ็บป่วยในระบบทางเดินหายใจ ไมโคแบคทีเรียม ทูเบอร์คูโลซิส (Mycobacterium tuberculosis) หรือที่เรียกย่อๆว่า TB ชอบอยู่ในที่ที่มีออกซิเจนมากๆ เช่น ปอด เชื้อนี้จะทำให้ผู้ป่วยเกิดอาการไอติดต่อกันเป็นเวลานานและเกิดแผลในปวดจนทำให้เสียชีวิตได้





วัณโรคเป็นโรคที่ติดต่อโดยการแพร่กระจายจากผู้ป่วยขณะไอ จาม หรือแม้กระทั่งการพูดคุย โดยเชื้อจะออกมาจากน้ำลายหรือละอองเสมหะและจะลอยอยู่ในอากาศได้เป็นเวลานาน โดยเฉพาะในที่ที่อากาศไม่ถ่ายเทหรือไม่ค่อยมีแสงส่องถึง เช่น ตลาดสด ห้างสรรพสินค้า โรงภาพยนต์ ในเครื่องบิน ในรถประจำทาง เมื่อเราหายใจเอาเชื้อวัณโรคเข้าไปก็จะทำให้มีโอกาสติดเชื้อได้ ถ้าเป็นผู้ที่มีร่างกายแข็งแรง ร่างกายจะสามารถควบคุมเชื้อวัณโรคไว้ได้ด้วยระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย แต่ถ้าเป็นผู้ที่มีร่างกายอ่อนแอ เช่น เด็ก คนชรา ผู้ที่เป็นโรคเรื้อรัง เช่น โรคเบาหวาน โรคไต ผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบ่องพร่องอย่างเอดส์ ผู้ที่ติดยาเสพติดหรือสุรา ก็จะมีโอกาสป่วยเป็นวัณโรคได้สูงเมื่อได้รับเชื้อเข้าไป



เชื้อวัณโรคนี้สามารถล่องลอยปลิวฟุ้งอยู่ในอากาศได้ ถ้าผู้ป่วยที่มีเชื้อวัณโรคอยู่ในร่างกายเกิดไปบ้วนน้ำลาย ถ่มถุย จามหรือไอออกมา เชื่อวัณโรคที่มีอยู่ก็จะฟุ้งกระจายไปได้เป็นละอองฝอย เสมหะที่เปียกอยู่แห้งก็มีสิทธิ์ที่จะปลิวว่อนไปในอากาศได้หากมีกระแสลมพัดพาไป

เมื่อมีผุ้ไปสูดหายใจในระหว่างที่เชื้อวัณโรคปลิวว่อนอยู่เข้ามาไปในปอดก็จะทำให้ปอดเกิดอักเสบขึ้นมาในที่สุด เกิดป่วยวัณโรคไปได้อีกหนึ่งรายทันที บางส่วนของวัณโรคจะเล็ดลอดเจ้าไปในกระแสเลือดแล้วแพร่กระจายออกไปในอวัยวะต่างๆ ของร่างกาย เช่น ปอด ลำไส้ กระดูก ไต สมอง มีโอกาสรับเชื้อวัณโรคทั้งนั้น


ระยะที่โรคแสดงอาการค่อนข้างจะล่าช้าและยาวนานมาก จึงทำให้ผู้ป่วยละเลยในการรักษากันไป คิดว่าคงจะไม่เป็นไรนัก มีแต่ผู้ที่มารับการรักษาที่มีอาการรุนแรงมากแล้วเป็นส่วนใหญ่ โดยมากผู้ป่วยจะได้รับเชื้อวัณโรคมาตั้งแต่เด็ก วัณโรคระยะนี้จึงถูกเรียกว่า “วัณโรคในเด็ก” หรือ “วัณโรคปฐมภูมิ” เชื้อโรคส่วนมากจะสงบนิ่งอยู่ภายในร่างกายตลอดไปไม่มีอาการผิดปกติอะไรเลย


โรคนี้รุกเงียบจริงๆ จะมีแสดงอาการอยู่บ้างก็เป็นผู้ที่มีความต้านทานน้อยอาการของโรคก็แสดงออกมาได้ ระยะหลังนี้เราเรียกว่า “วัณโรคผู้ใหญ่” หรือ “วัณโรคทุติยภูมิ” นั่นเอง ผู้ทีความต้านทานน้อยลงเชื้อวัณโรคก็จะกำเริบ ผู้ที่มีร่างกายอ่อนแอ่สุขภาพไม่ดี ร่างกายทรุดโทรมเชื้อวัณโรคจ้องเล่นงานเอาได้อย่างรวดเร็ว

วัณโรคมีอาการอย่างไรบ้าง?


  • อ่อนเพลีย ไม่มีแรง
  • เบื่ออาหาร น้ำหนักลด
  • มีไข้ต่ำๆ หนาวสั่นและมีเหงื่อออกตอนกลางคืน
  • ในระยะแรกจะมีอาการไอแห้งๆ
  • ต่อมาจะไอมีเสมหะและจะไอมากในเวลาเข้านอน ตื่นนอนตอนเช้าและหลังอาหาร
  • ไอเรื้อรังนานกว่า 3 สัปดาห์ ในรายที่เป็นมากๆจะหอบหรือไอเป็นเลือดก้อนแดงๆหรือเลือดดำๆออกมาด้วย
  • เด็กมักมีอาการรุนแรงกว่าผู้ใหญ่เพราะมีภูมิคุ้มกันน้อย
  • ในรายที่เป็นน้อยๆผู้ป่วยบางคนอาจจะรู้สึกแน่นหรือเจ็บหน้าอกโดยไม่มีอาการไอ

วิธีป้องกันตัวจากการเป็นวัณโรค


  • รักษาร่างกายให้แข็งแรง
  • อยู่ในที่ที่มีอากาศถ่ายเท เช่น ในห้องก็ควรจะเปิดหน้าต่างให้มีลมพัดเข้ามาบ้างเพราะการปิดห้องและเปิดแต่เครื่องปรับอากาศนั้นจะทำให้อากาศไม่หมุนเวียนและอาจเพิ่มความเสี่ยงในการติดเชื้อวัณโรคได้
  • เมื่อมีอาการไอควรสวมผ้าปิดปากเพื่อป้องกันไม่ให้เชื้อแพร่กระจายสู่ผู้อื่น
  • ควรรีบไปรักษาให้หายโดยเร็วที่สุดเพราะเมื่อคุณหายทุกคนก็ปลอดภัย ส่วนไหนของร่างกายที่ได้รับผล

ทางเลือกของการป้องกันตัวเองจากเชื้อวัณโรค

ในโรงพยาบาลจะมีการคัดแยกผู้ป่วยวัณโรคด้วยการเข้าพักในห้อง negative pressure แต่ก็มีราคาก่อสร้างสูงมาก ห้องประเภทนี้จึงมีจำกัด (ห้องแบบนี้ใช้คัดแยกคนไข้ติดเชื้อไวรัสรุนแรงด้วย) สำหรับพยาบาล ญาติหรือคนใกล้ชิดผู้ป่วย ก็ต้องระมัดระวังการรับเชื้อตัวนี้เช่นกัน มาตรการณ์ทั่วไปที่ใช้กัน ก็เช่นที่กล่าวในข้างบน




นอกเหนือจากวิธีดังกล่าว เคยมีการใช้รังสี UV หรือ โอโซนในระดับเข้มข้นสูงเกินกว่า 20 ppm (20 ส่วนใน 1,000,000 ส่วน) มาทำลายเชื้อวัณโรค แต่ก็ทำได้แค่บริเวณที่จำกัดและใช้ได้ในบริเวณไม่มีคนอยู่เท่านั้น (เป็นพิษต่อคน มีการกำหนดให้ใช้โอโซนตามที่อยู่อาศัยไม่เกิน 0.01 ppm)  นอกจากนี้ประสิทธิภาพในการทำลายต่ำลงเมื่ออากาศมีความชื้นสูงขึ้น (ไม่เหมาะกับประเทศแถบเอเชีย ที่มีความชื้นสูง)


นวตกรรมที่เกิดขึ้นมาปัจจบัน ทำให้บุคคลทั่วไปมีทางเลือกในการลดความเสี่ยงจากการรับเชื้อวัณโรคนี้บ้างแล้ว เพราะเราไม่มีทางรู้เลยว่าใครที่เป็นพาหะของเชื้อวัณโรคอยู่บ้าง



ระบบอนุภาคพลาสม่าคลัสเตอร์ ที่สามารถทำลายเชื้อไวรัส เชื้อรา เชื้อแบคทีเรีย จึงได้ถูกนำมาทดสอบว่าสามารถทำลายเชื้อวัณโรคได้หรือไม่


การทดสอบที่สถาบันโรคทรวงอก นนทบุรี ได้พบความจริงที่ว่า อนุภาคพลาสม่าคลัสเตอร์ระดับเข้มข้นจะทำลายเชื้อวัณโรคที่นำมาจากตัวอย่างห้องคนไข้ได้อย่างมีนัยสำคัญ การนำเครื่องฆ่าเชื้อโรคทางอากาศระบบนี้ก็เป็นการลดความเสี่ยงของบุคคลทั่วไปในตอนนี้








ผลการทดสอบว่าพลาสม่าคลัสเตอร์สามารถทำลายเชื้อวัณโรคได้ ถูกตีพิมพ์ในวารสารสมาคมโรคทรวงอกแห่งประเทศไทย และถูกนำเสนอในที่ประชุม สหพันธุ์แพทย์โรคทรวงอกแห่งโลก ที่กรุงเบอร์ลิน ประเทศเยอรมัน





เครื่องฆ่าเชื้อโรคทางอากาศระบบพลาสม่าคลัสเตอร์ ได้ถูกนำมาติดตั้งในโรงพยาบาล เพื่อลดความเสี่ยงต่อบุคลากรการแพทย์ ที่ต้องเสี่ยงภัยต่อการรับเชื้อวัณโรคโดยไม่รู้ตัว



หมอกฝุ่น (Smog) คืออะไร มีมหันต์ภัยต่อสุขภาพของคนแค่ไหน วิธีป้องกันตัวเองเมื่อเจอหมอกฝุ่นเหล่านี้


ฝุ่นละออง (Particulate Matter)  :  PM10

อนุภาคของแข็งและหยดละอองของเหลวที่แขวนลอยกระจายในอากาศ อนุภาคที่กระจายในอากาศนี้บางชนิดมีขนาดใหญ่ และมีสีดำจนมองเห็นเป็นเขม่าและควัน แต่บางชนิดมีขนาดเล็กมากจนมองด้วยตาเปล่าไม่เห็น ฝุ่นละอองที่แขวนลอยในบรรยากาศ โดยทั่วไปมีขนาดตั้งแต่ 100 ไมครอนลงมา ฝุ่นละอองสามารถก่อให้เกิดผลกระทบต่อสุขภาพอนามัยของคน สัตว์ พืช เกิดความเสียหายต่ออาคารบ้านเรือน ทำให้เกิดความเดือดร้อนรำคาญต่อประชาชน บดบังทัศนวิสัย ทำให้เกิดอุปสรรคในการคมนาคม ขนส่ง นานาประเทศจึงได้มีการกำหนดมาตรฐานฝุ่นละออง




ในบรรยากาศขึ้น สำหรับในประเทศสหรัฐอเมริกา US. EPA (United state Environmental Protection Agency) ได้มีการกำหนดค่ามาตรฐานของฝุ่นรวม (Total Susoended Particulate) และฝุ่น Pm10 แต่เนื่องจากมีการศึกษาวิจัย ฝุ่นขนาดเล็กนั้นจะเป็นอันตรายต่อสุขภาพมากกว่าฝุ่นรวม เนื่องจากสามารถผ่านเข้าไประบบทางเดินหายใจส่วนในและมีผลต่อสุขภาพมากกว่าฝุ่นรวม ดังนั้น US. EPA จึงได้มีการยกเลิกค่ามาตรฐานฝุ่นรวม และกำหนดค่ามาตรฐานฝุ่นขนาดเล็กเป็น 2 ชนิด คือ PM10 และ PM2.5
PM10 ตามคำจำกัดความของ US. EPA หมายถึง ฝุ่นหยาบ (Course Particle) เป็นอนุภาคที่มีเส้นผ่านศุนย์กลาง 2.5 – 10 ไมครอน มีแหล่งกำเนิดจากการจราจรบนถนนที่ไม้ได้ลาดยางตามการขนส่งวัสดุฝุ่นจากกิจกรรมบด ย่อย หิน


PM2.5 ตามคำจำกัดความของ US. EPA
หมายถึง ฝุ่นละเอียด (Final Particles) เป็นอนุภาคที่มีเส้นผ่านศุนย์กลางเล็กกว่า 2.5 ไมครอน ฝุ่นละเอียดที่มีแหล่งกำเนิดจากควันเสียของรถยนต์ โรงไฟฟ้า โรงงานอุตสาหกรรม ควันที่เกิดจากการหุงต้มอาหารโดยใช้ฟืน นอกจากนี้ก๊าซ SO2 NOx และสาร VOC จะทำปฏิกิริยากับสารอื่นในอากาศทำให้เกิดฝุ่นละเอียดได้
ฝุ่นละอองขนาดเล็กจะมีผลกระทบต่อสุขภาพเป็นอย่างมาก เมื่อหายใจเข้าไปในปอดจะเข้าไปอยู่ในระบบทางเดินหายใจส่วนล่าง ในสหรัฐอเมริกาพบว่า ผู้ที่ได้รับฝุ่น PM10 ในระดับหนึ่งจะทำให้เกิดโรค Asthma และ ฝุ่น PM2.5 ในบรรยากาศจะมีความสัมพันธ์กับอัตราการเพิ่มของผู้ป่วยที่เป็นโรคหัวใจและโรคปอด และเกี่ยวโยงกับการเสียชีวิตก่อนวัยอันควร โดนเฉพาะผู้ป่วยสูงอายุ ผู้ป่วยโรคหัวใจ โรคหืดหอบ และเด็กจะมีอัตราเสี่ยงสูงกว่าคนปกติด้วย  ในประเทศไทยมีการให้ความหมายของคำว่าฝุ่นละอองได้ดังนี้ ฝุ่นละอองหมายถึง ฝุ่นรวม(Total Suspended Particulate) ซึ่งเป็นฝุ่นขนาดใหญ่ที่มีเส้นผ่านศุนย์กลาง ตั้งแต่ 100 ไมครอนลง ส่วนฝุ่นขนาดเล็ก (PM10) หมายถึง ฝุ่นที่มีเส้นผ่านศุนย์กลางตั้งแต่ 10 ไมครอนลงมา
สารมลพิษที่อยู่ในอากาศอาจอยู่ในรูปก๊าซหรือในรูปอนุภาคแขวนลอยที่ลอยปะปนอยู่ในอากาศ ความรุนแรงของสารมลพิษที่มีต่อสุขภาพขึ้นอยู่กับขนาดของฝุ่นละออง ความเข้มข้น และระยะเวลาที่สัมผัส รวมทั้งสภาพร่างกายของผู้รับแต่ละคนด้วย โดยอนุภาคแขวนลอยมีขนาดตั้งแต่ 0.01-1,000 ไมครอน แต่อนุภาคที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพมนุษย์คือ อนุภาคที่มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางน้อยกว่า 10 ไมครอนหรือเรียกอีกอย่างหนึ่งได้ว่า สารอนุภาค (Suspended particulate matter) PM10 หมอกควันจัดเป็นฝุ่นละอองขนาดเล็กกว่า PM10 ซึ่งสามารถเข้าสู่ระบบทางเดินหายใจส่วนปลายได้  
หลายงานวิจัยได้ยืนยันว่าการได้รับฝุนละอองขนาด PM10 ไม่ว่าจะเป็นช่วงสั้นๆ หรือเป็นเวลานานล้วนแต่ทำให้ภาวะความเจ็บป่วยและความตายของมนุษย์เพิ่มขึ้น โดยระดับความเข้มข้นของการได้รับฝุนละอองขนาด PM10 ที่มากขึ้นจะเพิ่มอัตราเสี่ยงในการเป็นโรคเกี่ยวกับทางเดินหายใจ โรคหลอดเลือดหัวใจ และภูมิแพ้ต่างๆ 

ดังนั้นไม่ว่าในแต่ละวันจะได้รับในปริมาณฝุ่นละอองที่มากหรือน้อยก็เป็นอันตรายต่อร่างการ เกิดการสะสมในร่างกายเพราะอนุภาคของฝุ่นละอองมีขนาดเล็กมาก สามารถไปเกาะอยู่ตามเส้นเลือดฝอยและผนังของทางเดินหายใจ ทำให้ระบบทางเดินหายใจเกิดการระคายเคืองและอักเสบได้ จนเกิดอาการไอ หอบหืด หลอดลมอักเสษ แต่ถ้าเข้าไปในปอดแล้วไม่สามารถขับออกมาได้ สารพิษดังกล่าวจะมีสารประกอบอินทรีย์ที่ก่อให้เกิดโรคมะเร็ง และแทบทุกชนิดเป็นสารคงอยู่ในสิ่งแวดล้อมได้นานไม่สลายตัว ฉะนั้นเราทุกคนควรตระหนักถึงพิษจากหมอกควัน ฝุ่นละอองขนาดเล็กให้มากยิ่งขึ้น


สาเหตุที่ทำให้เกิดหมอกฝุ่น (SMOG)


หลักๆมาจาก 3 อย่างคือ
1. ก๊าซที่เกิดจากการเผาไหม้ของรถยนต์และมอเตอร์ไซด์ มักพบในเมืองใหญ่ๆ
2. หมอกที่เกิดจากอากาศเปลี่ยนแปลง และการเผาป่า  มีทั้งในประเทศมาเลเซียและประเทศเพื่อนบ้าน
3. มลพิษที่เกิดจากโรงงานอุตสาหกรรม
เราจะพบมลพิษอากาศสูงที่สุดคือ หมอกฝุ่น  ที่เป็นปัญหาครอบคลุมทั้งประเทศมาเลเซีย และประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เรายังพบสารเคมีอินทรีย์ในกลุ่มหมอก สารเคมีอินทรีย์เหล่านี้รวมถึง โทลูอีน  ซึ่งเป็นสารเคมีที่ใช้ในทางกสิกรรมและผลิตภัณฑ์ปิโตรเลี่ยม  อันเป็นสารหนึ่งที่จัดอยู่ในสารพิษต่อมนุษย์  และยังรวมไปถึงสารเคมีอีกตัวที่ชื่อ “เพนตานอน”  ที่มีชื่อทางเคมีว่า 2-Pentanone, 4-hydroxy-4-methy  มักมีต้นตอมาจากน้ำมันดีเซล





วิธีการป้องกันตัวเมื่ออยู่ในสภาวะหมอกฝุ่น




แน่นอนว่าคงหนีไม่พ้นว่า ต้องใช้หน้ากาก ซึ่งสามารถกันได้เฉพาะฝุ่นอนุภาคใหญ่ๆเท่านั้น มีการศึกษาพบว่า หมอกฝุ่นที่มีขนาดอนุภาคเล็กกว่า ประกอบด้วย PM2.5 ที่มีอันตรายมากต่อสุขภาพคน ไม่ใช่แค่ฝุ่นละเอียดที่เข้าไปในทางเดินหายใจได้อย่างเดียว มันจะมีสารมลพิษหรือจุลินทรีย์เกาะติดฝุ่นที่มีเนื้อผิวกว้างเหล่านี้ไปด้วย กว่า 1,300 ชนิด เมื่อ PM2.5 เข้าไปในทางเดินหายใจ จะลงไปลึกถึงขั้นสุดของปอด เกาะติดผนังของปอดพร้อมกับสารพิษ เชื้อโรคต่่างๆ เป็นสาเหตุของโรคปอดอักเสบ โรคความดันโลหิต และตายได้ในที่สุด



ที่ประเทศมาเลเซีย มีมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งทำการวิเคราะห์ตัวอย่างอากาศที่มีมลพิษอยู่นั้น  มาทดสอบในห้องขนาดปริมาตร 25.6 ลูกบาศก์เมตร ด้วยการเปิดใช้งาน  เครื่องฟอกอากาศชาร์ป พลาสม่าคลัสเตอร์ 3 รุ่น ทุกรุ่นพ่นอนุภาคพลาสม่าคลัสเตอร์ออกมาที่ความเข้มข้น 7000 ไอออนต่อซีซี และมีแผ่นกรอง HEPA (High Efficiency Purifying Air Filter) อยู่ภายในเครื่อง การเปิดทดสอบใช้งานแต่ละห้อง กินเวลานาน  22 , 38 และ 25  นาทีตามลำดับ  พบผลลัพธ์ว่า สามารถกำจัดสารที่มีอนุภาคขนาดเท่ากับหรือมากกว่า  0.0633  ไมครอน ออกจากห้องดังกล่าวได้ถึง  99% (ปกติเครื่องฟอกอากาศทั่วไป มีแผ่นกรอง HEPA ที่มีคุณสมบัติในการกรองสารอนุภาคใหญ่กว่า 0.3 ไมครอน ได้ 99.97%) การค้นพบครั้งนี้ เป็นประโยชน์่ใหญ่หลวงที่จะนำระบบผสมผสานระหว่าง อนุภาคพลาสม่าคลัสเตอร์ กับ แผ่นกรอง HEPA ในการต่อสู้กับหมอกฝุ่น (smog)

เรายังพบอีกว่าเครื่องฟอกอากาศระบบผสมผสานระหว่าง อนุภาคพลาสม่าคลัสเตอร์ กับ แผ่นกรอง HEPA สามารถลดสารพิษระเหย “โทลูอีน” และ “เพนทานอน”  (สารพิษระเหยสองตัว ที่พบในหมอกฝุ่น เกิดมาจากขบวนการผลิตโรงงานอุตสาหกรรม เป็นสารเคมีที่ผสมในปุ๋ยใส่ดิน) ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยปริมาณของสารพิษ “โทลูอีน”  ถูกกำจัดไป  91% , 98%  เมื่อเวลาผ่านไป  24 และ  48  ชั่วโมงตามลำดับ  ขณะที่ “เพนทานอน”  ถูกกำจัดไป  44% และ  70%  เมื่อเวลาผ่านไป  24 และ 48 ชั่วโมงตามลำดับ

เป็นทางเลือกใหม่ ของการรับมือป้องกันตัวเองจากหมอกฝุ่นที่เจอในเมืองใหญ่ เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ






กระต่ายที่แสนโชคดี ในฟาร์มที่สร้างอากาศสะอาดด้วยระบบฆ่าเชื้อโรคทางอากาศ เมื่อไหร่คนจะเห็นคุณค่าของตัวเองซักที

เกิดเป็นกระต่าย อยู่ที่ฟาร์ม Bunny Day Off ก็ดีอย่างนะ อากาศในห้องมีการสร้างภาวะจำลองธรรมชาติ ด้วยการใช้เครื่องฆ่าเชื้อโรคทางอากาศระบบพลาสม่าคลัสเตอร์ (ใช้กรรมวิธีจำลองความสะอาดแบบธรรมชาติ) กระต่ายเหล่านี้เป็นการนำเข้ามาจากต่างประเทศ พ่อพันธุ์แม่พันธุ์จึงต้องมีความแข็งแรง อยู่อย่างเป็นสุขอารมณ์ดี ไม่เจ็บป่วย เพราะกระต่ายเป็นสัตว์ที่ใจเสาะ ป่วยง่ายๆ แถมตัวมันเองนั่นแหละเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้ป่วยบ่อยๆ



มูลและปัสสาวะของกระต่ายจะให้เกิดสารบางอย่าง เช่น แอมโมเนีย เป็นสารที่ระเหยทำให้กระต่ายมีอาการระคายเคืองตา ตาเริ่มแดงขึ้นเรื่อยๆ เมื่อมันมีอารมณ์เครียด ก็จะมีปัญหาสุขภาพอ่อนแอทันที จะไม่เบิกบาน ไม่กินอาหาร สามารถตายได้ในไม่กี่วัน เดิมที่กระต่ายพวกนี้ต้องสลับกันไปหาหมอทุก 4-5 วัน (ยิ่งกว่าคนไปโรงพยาบาลซะอีก) 







เจ้าของฟาร์มกระต่ายเอาเครื่องฆ่าเชื้อโรคทางอากาศ พลาสม่าคลัสเตอร์ มาติดตั้งวางในฟาร์ม (อิจฉากระต่ายจัง คนยังไม่มีเครื่องพวกนี้มาใช้กันทุกบ้านเลย มีแต่ใช้กันมากในโรงพยาบาล) พบว่าอากาศสะอาดขึ้นทันที เข้าใจว่าเชื้อโรคถูกทำลายลง และ ก๊าซแอมโมเนียที่มาจากมูลหรือปัสสาวะของกระต่าย ได้ถูกทำลาย ตัวประเมินผลที่มีเห็นได้เป็นรูปธรรมก็คือ กระต่ายพันธุ์พ่อแม่เหล่านี้ก็เจ็บป่วยน้อยลง ลดความถี่และค่าใช้จ่ายที่ต้องไปหาหมอ มากกว่า 80% ในแต่ละเดือน 








น่าอิจฉากระต่ายพวกนี้จัง ที่อยู่ห้องที่สะอาด อากาศดี  ไอ้เราซิ ต้องทนมลพิษในอากาศต่อไป