ฝุ่นละออง (Particulate
Matter) : PM10
อนุภาคของแข็งและหยดละอองของเหลวที่แขวนลอยกระจายในอากาศ
อนุภาคที่กระจายในอากาศนี้บางชนิดมีขนาดใหญ่ และมีสีดำจนมองเห็นเป็นเขม่าและควัน
แต่บางชนิดมีขนาดเล็กมากจนมองด้วยตาเปล่าไม่เห็น ฝุ่นละอองที่แขวนลอยในบรรยากาศ
โดยทั่วไปมีขนาดตั้งแต่ 100 ไมครอนลงมา
ฝุ่นละอองสามารถก่อให้เกิดผลกระทบต่อสุขภาพอนามัยของคน สัตว์ พืช
เกิดความเสียหายต่ออาคารบ้านเรือน ทำให้เกิดความเดือดร้อนรำคาญต่อประชาชน
บดบังทัศนวิสัย ทำให้เกิดอุปสรรคในการคมนาคม ขนส่ง
นานาประเทศจึงได้มีการกำหนดมาตรฐานฝุ่นละออง
ในบรรยากาศขึ้น สำหรับในประเทศสหรัฐอเมริกา US. EPA (United state Environmental Protection Agency) ได้มีการกำหนดค่ามาตรฐานของฝุ่นรวม (Total Susoended Particulate) และฝุ่น Pm10 แต่เนื่องจากมีการศึกษาวิจัย ฝุ่นขนาดเล็กนั้นจะเป็นอันตรายต่อสุขภาพมากกว่าฝุ่นรวม เนื่องจากสามารถผ่านเข้าไประบบทางเดินหายใจส่วนในและมีผลต่อสุขภาพมากกว่าฝุ่นรวม ดังนั้น US. EPA จึงได้มีการยกเลิกค่ามาตรฐานฝุ่นรวม และกำหนดค่ามาตรฐานฝุ่นขนาดเล็กเป็น 2 ชนิด คือ PM10 และ PM2.5
ในบรรยากาศขึ้น สำหรับในประเทศสหรัฐอเมริกา US. EPA (United state Environmental Protection Agency) ได้มีการกำหนดค่ามาตรฐานของฝุ่นรวม (Total Susoended Particulate) และฝุ่น Pm10 แต่เนื่องจากมีการศึกษาวิจัย ฝุ่นขนาดเล็กนั้นจะเป็นอันตรายต่อสุขภาพมากกว่าฝุ่นรวม เนื่องจากสามารถผ่านเข้าไประบบทางเดินหายใจส่วนในและมีผลต่อสุขภาพมากกว่าฝุ่นรวม ดังนั้น US. EPA จึงได้มีการยกเลิกค่ามาตรฐานฝุ่นรวม และกำหนดค่ามาตรฐานฝุ่นขนาดเล็กเป็น 2 ชนิด คือ PM10 และ PM2.5
PM10 ตามคำจำกัดความของ US. EPA หมายถึง ฝุ่นหยาบ (Course Particle) เป็นอนุภาคที่มีเส้นผ่านศุนย์กลาง
2.5 – 10 ไมครอน
มีแหล่งกำเนิดจากการจราจรบนถนนที่ไม้ได้ลาดยางตามการขนส่งวัสดุฝุ่นจากกิจกรรมบด
ย่อย หิน
PM2.5 ตามคำจำกัดความของ US. EPA
หมายถึง ฝุ่นละเอียด (Final Particles) เป็นอนุภาคที่มีเส้นผ่านศุนย์กลางเล็กกว่า
2.5 ไมครอน ฝุ่นละเอียดที่มีแหล่งกำเนิดจากควันเสียของรถยนต์
โรงไฟฟ้า โรงงานอุตสาหกรรม ควันที่เกิดจากการหุงต้มอาหารโดยใช้ฟืน นอกจากนี้ก๊าซ SO2
NOx และสาร VOC จะทำปฏิกิริยากับสารอื่นในอากาศทำให้เกิดฝุ่นละเอียดได้
ฝุ่นละอองขนาดเล็กจะมีผลกระทบต่อสุขภาพเป็นอย่างมาก
เมื่อหายใจเข้าไปในปอดจะเข้าไปอยู่ในระบบทางเดินหายใจส่วนล่าง ในสหรัฐอเมริกาพบว่า
ผู้ที่ได้รับฝุ่น PM10 ในระดับหนึ่งจะทำให้เกิดโรค Asthma
และ ฝุ่น PM2.5
ในบรรยากาศจะมีความสัมพันธ์กับอัตราการเพิ่มของผู้ป่วยที่เป็นโรคหัวใจและโรคปอด
และเกี่ยวโยงกับการเสียชีวิตก่อนวัยอันควร โดนเฉพาะผู้ป่วยสูงอายุ ผู้ป่วยโรคหัวใจ
โรคหืดหอบ และเด็กจะมีอัตราเสี่ยงสูงกว่าคนปกติด้วย ในประเทศไทยมีการให้ความหมายของคำว่าฝุ่นละอองได้ดังนี้
ฝุ่นละอองหมายถึง ฝุ่นรวม(Total Suspended Particulate) ซึ่งเป็นฝุ่นขนาดใหญ่ที่มีเส้นผ่านศุนย์กลาง
ตั้งแต่ 100 ไมครอนลง ส่วนฝุ่นขนาดเล็ก (PM10) หมายถึง ฝุ่นที่มีเส้นผ่านศุนย์กลางตั้งแต่ 10 ไมครอนลงมา
สารมลพิษที่อยู่ในอากาศอาจอยู่ในรูปก๊าซหรือในรูปอนุภาคแขวนลอยที่ลอยปะปนอยู่ในอากาศ
ความรุนแรงของสารมลพิษที่มีต่อสุขภาพขึ้นอยู่กับขนาดของฝุ่นละออง ความเข้มข้น
และระยะเวลาที่สัมผัส รวมทั้งสภาพร่างกายของผู้รับแต่ละคนด้วย
โดยอนุภาคแขวนลอยมีขนาดตั้งแต่ 0.01-1,000 ไมครอน แต่อนุภาคที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพมนุษย์คือ
อนุภาคที่มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางน้อยกว่า 10
ไมครอนหรือเรียกอีกอย่างหนึ่งได้ว่า สารอนุภาค (Suspended particulate
matter) PM10 หมอกควันจัดเป็นฝุ่นละอองขนาดเล็กกว่า PM10 ซึ่งสามารถเข้าสู่ระบบทางเดินหายใจส่วนปลายได้
หลายงานวิจัยได้ยืนยันว่าการได้รับฝุนละอองขนาด PM10 ไม่ว่าจะเป็นช่วงสั้นๆ หรือเป็นเวลานานล้วนแต่ทำให้ภาวะความเจ็บป่วยและความตายของมนุษย์เพิ่มขึ้น
โดยระดับความเข้มข้นของการได้รับฝุนละอองขนาด PM10 ที่มากขึ้นจะเพิ่มอัตราเสี่ยงในการเป็นโรคเกี่ยวกับทางเดินหายใจ
โรคหลอดเลือดหัวใจ และภูมิแพ้ต่างๆ
ดังนั้นไม่ว่าในแต่ละวันจะได้รับในปริมาณฝุ่นละอองที่มากหรือน้อยก็เป็นอันตรายต่อร่างการ เกิดการสะสมในร่างกายเพราะอนุภาคของฝุ่นละอองมีขนาดเล็กมาก สามารถไปเกาะอยู่ตามเส้นเลือดฝอยและผนังของทางเดินหายใจ ทำให้ระบบทางเดินหายใจเกิดการระคายเคืองและอักเสบได้ จนเกิดอาการไอ หอบหืด หลอดลมอักเสษ แต่ถ้าเข้าไปในปอดแล้วไม่สามารถขับออกมาได้ สารพิษดังกล่าวจะมีสารประกอบอินทรีย์ที่ก่อให้เกิดโรคมะเร็ง และแทบทุกชนิดเป็นสารคงอยู่ในสิ่งแวดล้อมได้นานไม่สลายตัว ฉะนั้นเราทุกคนควรตระหนักถึงพิษจากหมอกควัน ฝุ่นละอองขนาดเล็กให้มากยิ่งขึ้น
สาเหตุที่ทำให้เกิดหมอกฝุ่น (SMOG)
หลักๆมาจาก 3 อย่างคือ
1. ก๊าซที่เกิดจากการเผาไหม้ของรถยนต์และมอเตอร์ไซด์ มักพบในเมืองใหญ่ๆ
2. หมอกที่เกิดจากอากาศเปลี่ยนแปลง และการเผาป่า มีทั้งในประเทศมาเลเซียและประเทศเพื่อนบ้าน
3. มลพิษที่เกิดจากโรงงานอุตสาหกรรม
เราจะพบมลพิษอากาศสูงที่สุดคือ หมอกฝุ่น ที่เป็นปัญหาครอบคลุมทั้งประเทศมาเลเซีย
และประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เรายังพบสารเคมีอินทรีย์ในกลุ่มหมอก สารเคมีอินทรีย์เหล่านี้รวมถึง โทลูอีน ซึ่งเป็นสารเคมีที่ใช้ในทางกสิกรรมและผลิตภัณฑ์ปิโตรเลี่ยม
อันเป็นสารหนึ่งที่จัดอยู่ในสารพิษต่อมนุษย์ และยังรวมไปถึงสารเคมีอีกตัวที่ชื่อ
“เพนตานอน” ที่มีชื่อทางเคมีว่า 2-Pentanone,
4-hydroxy-4-methy มักมีต้นตอมาจากน้ำมันดีเซล
วิธีการป้องกันตัวเมื่ออยู่ในสภาวะหมอกฝุ่น
แน่นอนว่าคงหนีไม่พ้นว่า ต้องใช้หน้ากาก ซึ่งสามารถกันได้เฉพาะฝุ่นอนุภาคใหญ่ๆเท่านั้น มีการศึกษาพบว่า หมอกฝุ่นที่มีขนาดอนุภาคเล็กกว่า ประกอบด้วย PM2.5 ที่มีอันตรายมากต่อสุขภาพคน ไม่ใช่แค่ฝุ่นละเอียดที่เข้าไปในทางเดินหายใจได้อย่างเดียว มันจะมีสารมลพิษหรือจุลินทรีย์เกาะติดฝุ่นที่มีเนื้อผิวกว้างเหล่านี้ไปด้วย กว่า 1,300 ชนิด เมื่อ PM2.5 เข้าไปในทางเดินหายใจ จะลงไปลึกถึงขั้นสุดของปอด เกาะติดผนังของปอดพร้อมกับสารพิษ เชื้อโรคต่่างๆ เป็นสาเหตุของโรคปอดอักเสบ โรคความดันโลหิต และตายได้ในที่สุด
ที่ประเทศมาเลเซีย มีมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งทำการวิเคราะห์ตัวอย่างอากาศที่มีมลพิษอยู่นั้น มาทดสอบในห้องขนาดปริมาตร 25.6 ลูกบาศก์เมตร ด้วยการเปิดใช้งาน เครื่องฟอกอากาศชาร์ป พลาสม่าคลัสเตอร์ 3 รุ่น ทุกรุ่นพ่นอนุภาคพลาสม่าคลัสเตอร์ออกมาที่ความเข้มข้น 7000 ไอออนต่อซีซี และมีแผ่นกรอง HEPA (High Efficiency Purifying Air Filter) อยู่ภายในเครื่อง การเปิดทดสอบใช้งานแต่ละห้อง กินเวลานาน
22 , 38 และ 25 นาทีตามลำดับ
พบผลลัพธ์ว่า สามารถกำจัดสารที่มีอนุภาคขนาดเท่ากับหรือมากกว่า 0.0633 ไมครอน ออกจากห้องดังกล่าวได้ถึง 99% (ปกติเครื่องฟอกอากาศทั่วไป มีแผ่นกรอง HEPA ที่มีคุณสมบัติในการกรองสารอนุภาคใหญ่กว่า 0.3 ไมครอน ได้ 99.97%) การค้นพบครั้งนี้ เป็นประโยชน์่ใหญ่หลวงที่จะนำระบบผสมผสานระหว่าง อนุภาคพลาสม่าคลัสเตอร์ กับ แผ่นกรอง HEPA ในการต่อสู้กับหมอกฝุ่น (smog)
เรายังพบอีกว่าเครื่องฟอกอากาศระบบผสมผสานระหว่าง อนุภาคพลาสม่าคลัสเตอร์ กับ แผ่นกรอง HEPA สามารถลดสารพิษระเหย “โทลูอีน” และ
“เพนทานอน” (สารพิษระเหยสองตัว ที่พบในหมอกฝุ่น เกิดมาจากขบวนการผลิตโรงงานอุตสาหกรรม เป็นสารเคมีที่ผสมในปุ๋ยใส่ดิน) ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยปริมาณของสารพิษ “โทลูอีน” ถูกกำจัดไป
91% , 98% เมื่อเวลาผ่านไป 24 และ 48
ชั่วโมงตามลำดับ ขณะที่
“เพนทานอน” ถูกกำจัดไป 44% และ 70%
เมื่อเวลาผ่านไป 24 และ 48
ชั่วโมงตามลำดับ
เป็นทางเลือกใหม่ ของการรับมือป้องกันตัวเองจากหมอกฝุ่นที่เจอในเมืองใหญ่ เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น