วันอังคารที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

เชื้อไวรัสคืออะไร หลากหลายสายพันธุ์ เชื้อไวรัสไข้หวัดแพร่กระจายได้อย่างไร วิธีป้องกันใหม่ๆมีอะไรบ้าง

เชื้อไวรัส (virus) คืออะไร


ไวรัสจัดเป็นจุลินทรีย์อีกชนิดหนึ่ง ที่ก่อโรคแก่มนุษย์ เช่นเดียวกับเชื้อแบคทีเรีย  หน่วยของไวรัสเองจะมีรหัสกรดนิวคลีอิคที่เป็น ดีเอ็นเอ [DNA] หรือ อาร์เอนเอ [ RNA ] ก็ได้แล้วแต่ชนิดของไวรัสนั้น  หน่วยของไวรัสไม่มีเครื่องมือสำหรับการแบ่งตัวสร้างหน่วยใหม่โดยตัวเอง  มันจึงจำเป็นต้องอาศัยเซลล์ที่มีชีวิตอื่นเพื่อทำการยังชีพ และเพิ่มจำนวนตัวเอง  อีกนัยหนึ่งตามความหมายที่ว่านี้ ไวรัสจึงคล้ายๆพยาธิที่คอยเกาะกินเซลล์ที่มีชีวิต เช่น เซลร่างกายมนุษย์ และเพิ่มจำนวน  ในการเข้าสิงสู่อาศัยในเซลล์ร่างกายมนุษย์ บางเซลล์มนุษย์อาจถูกทำลายลง แต่บางเซลที่ไวรัสอาศัยอยู่ก็ไม่ถูกทำลาย ตกอยู่ในสภาพการเกาะกินอย่างเรื้อรังยาวนาน เช่น พวกไวรัสโรคเฮอร์ปีส์ [ Hepesvirus ] หรือไวรัสบางพวกเลียนแบบเซลล์ปกติของร่างกายก่อให้เกิดการแบ่งตัวจนกลายเป็นเนื้องอกขึ้นมาได้และเนื่องมาจากการสิงสู่ในเซลล์ การเลียนแบบเซลล์ปกติของมนุษย์นี่เอง ทำให้การค้นหาเชื้อ การวินิจฉัย รวมทั้งการใช้ยารักษาทำลายเชื้อจึงเป็นไปด้วยความยากลำบาก
               

เชื้อไวรัสเป็นเชื้อที่ทำให้เกิดโรคที่มีขนาดเล็กที่สุด เล็กกว่าเชื้อโรคมาก มองไม่เห็นดัวย กล้องจุลทรรศ์ธรรมดา ต้องดูด้วยกล้องจุลทรรศ์แบบ อิเล็กตรอนจึงจะเห็นได้




ตัวไวรัสประกอบด้วยโปรตีนซึ่งเป็น RNA หรือ DNA  อย่างใดอย่างหนึ่งแต่เพียงอย่างเดียวอยู่ในส่วนกลางของตัวไวรัส (Core) ซึ่งเป็นตัวแสดงพันธุกรรม (Genome) ของเชื้อไวรัสนั้นๆ และมีเปลือกหุ้มอีกชั้นเป็นสารโปรตีนที่เรียกว่า Capsid เซลล์ของเชื้อไวรัสต่างไปจากเซลล์ของคนและสัตว์ที่มีชีวิตอื่นๆ ซึ่งในเซลล์จะมีโปรตีนทั้งสองชนิดเป็นส่วนประกอบอยู่ ไวรัสบางตัวอาจมีเยื่อหุ้มบุอีกชั้นซึ่งมีสารไขมัน เป็นส่วนประกอบที่เรียกว่า Envelope ไวรัสจะเรียกว่าเป็นสิ่งที่ไม่มีชีวิตก็ได้ เพราะในตัวมันไม่มีพลังงานสะสมในตัว ไม่มีการแบ่งตัว ไม่มีการเคลื่อนไหวเมื่ออยู่นอกเซลล์ของคน สัตว์ พืช หรือแม้แต่เชื้อโรคที่ได้รับเชื้อเข้าไป มันจะเพิ่มจำนวนและทำให้เกิดโรคได้ก็ต่อเมื่อเข้าไปอยู่ในเซลล์ของผู้ติดเชื้อแล้วเท่านั้น ซึ่งเซลล์เหล่านั้นทำหน้าที่เหมือนเป็นโรงงานผลิตเชื้อไวรัส


ความแตกต่างหลากหลายของสายพันธุ์ จะมีที่ โปรตีนนิวคลีอิคแอซิค ซึ่งเป็นส่วนประกอบของ DNA หรือ RNA ตรงแกนกลาง หากโปรตีนต่างชนิดกันก็จะทำให้เกิดสายพันธุ์ไวรัสที่แตกต่างกันไป เราจึงพบสายพันธุ์ใหม่ๆของเชื้อไวรัสได้ง่าย ... ส่วนประกอบอื่นเช่น ผนังชั้นนอก ของเหลวชั้นใน จะไม่มีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ



ลักษณะโรคเป็นการติดเชื้อไวรัสที่ระบบทางเดินหายใจแบบเฉียบพลัน 



มีลักษณะทางคลินิกที่สำคัญคือ มีไข้สูงแบบทันทีทันใด ปวดศีรษะ ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ อ่อนเพลีย ไข้หวัดใหญ่เป็นโรคที่สำคัญที่สุดโรคหนึ่งในกลุ่มโรคติดเชื้ออุบัติใหม่และโรคติดเชื้ออุบัติซ้ำ เนื่องจากเกิดการระบาดใหญ่ทั่วโลก (pandemic) มาแล้วหลายครั้ง แต่ละครั้งเกิดขึ้นอย่างกว้างขวางเกือบทุกทวีป ทำให้มีผู้ป่วยและเสียชีวิตนับล้านคน 



สาเหตุ เกิดจากเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ซึ่งมี 3 ชนิด (type) คือ A, B และ C 



ไวรัสชนิด A เป็นชนิดที่ทำให้เกิดการระบาดอย่างกว้างขวางทั่วโลก 
ไวรัสชนิด B ทำให้เกิดการระบาดในพื้นที่ระดับภูมิภาค 
ส่วนชนิด C มักเป็นการติดเชื้อที่แสดงอาการอย่างอ่อนหรือไม่แสดงอาการ และไม่ทำให้เกิดการระบาด 



เชื้อไวรัสชนิด A แบ่งเป็นชนิดย่อย (subtype) ตามความแตกต่างของโปรตีนของไวรัสที่เรียกว่า hemagglutinin (H) และ neuraminidase (N) ชนิดย่อยของไวรัส A ที่พบว่าเป็นสาเหตุของการติดเชื้อในคนที่พบในปัจจุบันได้แก่ A(H1N1), A(H1N2), A(H3N2), A(H5N1) และ A(H9N2) 



ส่วนไวรัสชนิด B ไม่มีแบ่งเป็นชนิดย่อย



วิธีการติดต่อ 



เชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ติดต่อทางการหายใจ โดยจะได้รับเชื้อที่ออกมาปนเปื้อนอยู่ในอากาศเมื่อผู้ป่วยไอ จาม หรือพูด ในพื้นที่ที่มีคนอยู่รวมกันหนาแน่น เช่น โรงเรียน โรงงาน การแพร่เชื้อจะเกิดได้มาก 

นอกจากนี้การแพร่เชื้ออาจเกิดโดยการสัมผัสฝอยละอองน้ำมูก น้ำลายของผู้ป่วย (droplet transmission) จากมือที่สัมผัสกับพื้นผิวที่มีเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ แล้วใช้มือสัมผัสที่จมูกและปาก ระยะฟักตัว ประมาณ 1-3 วัน ระยะติดต่อ ผู้ป่วยสามารถแพร่เชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ตั้งแต่ 1 วันก่อนมีอาการและจะแพร่เชื้อต่อไปอีก 3-5 วันหลังมีอาการในผู้ใหญ่ ส่วนในเด็กอาจแพร่เชื้อได้นานกว่า 7 วัน ผู้ที่ได้รับเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่แต่ไม่มีอาการก็สามารถแพร่เชื้อในช่วงเวลานั้นได้เช่นกัน













สรุปได้ว่า การแพร่กระจายเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่จะทำได้ทั้ง แบบอิสระ และ แบบละอองฝอย 


การแพร่กระจายแบบอิสระ คือการติดต่อผ่านลมหายใจเข้าออก

สำหรับแบบละอองฝอย เชื้อไวรัสที่ถูกไอจามออกมา สามารถทนอยู่บนพื้นผิวได้นาน 4-6 ชั่วโมง เมื่อมีคนไปสัมผัสเชื้อไวรัสที่่ตกอยู่บริเวณนั้น และ เอามือมาขยี้ตาขยี้จมูก ก็จะทำให้เชื้อไวรัสเข้าสู่ร่างกายทางอ้อม















อนึ่งบางคนอาจเข้าใจว่า เชื้อไวรัสแบบละอองฝอย จะไม่สามารถติดต่อได้ทางอากาศ (ติดต่อได้ทางสัมผัสอย่างเดียว) ... เป็นความเข้าใจที่ผิด เพราะ

เชื้อไวรัสแบบละอองฝอย ที่เกิดจากการไอจาม จากคนที่เป็นพาหะ พุ่งเข้าหาคนรอบข้าง สามารถถูกสูดดม สัมผัสเยื่อเมือก เข้าในคนใกล้ตัวได้เช่นกัน (เพียงแค่รัศมีเป้าหมายต้องไม่อยู่ไกลจากคนที่ไอจาม เช่น ไม่เกิน 5 เมตร)

การป้องกันและการรักษา



เชื้อไวรัสเมื่อแพร่กระจายเข้าร่างกายแล้ว ยังไม่มีวิธีการรักษา จะใช้วิธีการรักษาแบบตามอาการที่เกิดขึ้น ภูมิต้านทานของร่างกายจะต่อสู้กับเชื้อเอง ... สำหรับคนที่มีความเจ็บป่วยอื่นๆมาก่อนแล้ว เช่น โรคเบาหวาน โรคหัวใจ โรคความดันโลหิตสูง รวมถึงเด็ก ก็จะฟื้นฟูร่างกายได้ช้า หรืออาจมีความเสี่ยงสูง











วัคซีนที่ฉีดสำหรับป้องกันเชื้อไวรัสไข้หวัด ก็จะมีข้อจำกัดว่า สามารถป้องกันได้เฉพาะสายพันธุ์นั้นๆ ไม่สามารถใช้ได้กับสายพันธุ์อื่น หรือสายพันธุ์ใหม่ๆที่ปรากฎขึ้นมา ... หากมีสายพันธุ์ใหม่ขึ้นมา การพัฒนาวัคซีนจะใช้เวลาประมาณ 2 ปีให้หลัง กว่าจะประสพความสำเร็จ



การป้องกันหรือลดความเสี่ยงในการติดต่อเชื้อไวรัส วิธีมาตราฐานคือการล้างมือ การเอาผ้าปิดปาก ... แต่ปัจจุบันก็มีทางเลือกใหม่เพิ่มเข้ามาอีก คือการนำเครื่องฆ่าเชื้อโรคทางอากาศเข้ามาใช้ เสมือนการสร้างโซนปลอดเชื้อ (ประมาณนั้น) แต่เมื่อไหร่ที่คนออกนอกโซนที่เครื่องทำงานอยู่ ก็ยังมีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อไวรัสอยู่











การนำเครื่องฆ่าเชื้อโรคไม่ใช่เรื่องใหม่ อดีตเคยมีการนำเครื่องฉายรังสียูวี หรือ ผลิตโอโซน มาทำลายเชื้อโรค แต่ก็พบว่าความเข้มข้นในการนำมาใช้งาน เป็นพิษรุนแรงต่อร่างกาย รวมถึงเป็นต้นเหตุของการเกิดมะเร็ง ระบบเหล่านี้จึงเลิกใช้ไป ... จนกระทั่ง มีการคิดค้นระบบพ่นอนุภาคขึ้นมาใหม่ เป็นการพ่นอนุภาคแบบประจุสองชนิด (เดิมเคยพ่นอนุภาคแบบชนิดเดียว) การพ่นอนุภาคบวกและลบออกมาในเวลาเดียวกัน มีการทดสอบแล้วว่าสามารถทำลายเชื้อไวรัสทางอากาศได้ จึงเป็นที่มาของทางเลือกในการติดตั้งเครื่องฆ่าเชื้อโรคทางอากาศประเภทนี้เข้าไป

























อย่างไรก็ตาม ความเข้มข้นของอนุภาคทั้งบวกและลบ ที่ถูกเครื่องพ่นออกมาพร้อมกัน จะมีความสำคัญต่อประสิทธิภาพการทำงานฆ่าเชื้อไวรัสด้วย จึงควรเลือกใช้ความเข้มข้นที่เหมาะสมกับสถานที่ เช่น บ้าน ใช้ความเข้มข้นที่ 7000 ไอออนต่อซีซี เพื่อความประหยัดแต่ทำลายเชื้อไวรัสไข้หวัดแบบอิสระ , โรงพยาบาล/โรงงาน/บริษัท ควรเลือกใช้ที่ความเข้มข้นมากกว่า 25000 ไอออนต่อซีซี ที่สามารถทำลายเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่แบบอิสระและแบบละอองฝอย




ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น